วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ไป......ไร่ กัน





สวนส้ม..ธนาธร



เดินเที่ยวสวนส้มธนาธร ที่อำเภอฝาง???? น้อยคนนักที่จะไม่เคยทานส้ม แล้วเคยทานส้มเคยสังเกตุกันใหมครับว่าส้มที่ทานอยู่มาจากที่ใหน “สวนส้มธนาธร” ชื่อนี้คงจะคุ้นหูไม่มากก็น้อยล่ะครับ หนึ่งในสวนส้มที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่ส่งส้มไปขายทั้งในและนอกประเทศ ด้วยส้มที่มีคุณภาพ ครั้งนี้มีโอกาศดีได้ไปเที่ยวไร่สวนส้มธนาธร ที่อำเภอฝางจังหวัดเชียงใหม่ เลยเก็บบรรยากาศมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครจะสนใจมาเที่ยวสวนส้มธนาธร แหล่งท่องเที่เชิงเกษตรแห่งนี้กันบ้าง
ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว สวนส้มธนาธร อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่เจ้าของสวนส้มธนาธร คุณบัณฑูร จิระวัฒนากูล ผู้ก่อตั้งสวนส้มธนาธรจัดว่าเป็นคนสู้ชีวิตที่น่านับถือคนหนึ่งเลยครับ กว่าจะมาเป็นเจ้าของสวนส้มที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ชีวิตแกล้มลุกคลุกคลานมากกว่าจะ มีวันนี้ได้ ลองไปดูประวัติได้ที่เว็บไซต์ http://www.tntorchard.com รวมทั้งข้อมูลต่างๆของสวนส้มธนาธร
มีโอกาศได้ไปเที่ยวสวนส้มธนาธรที่ฝางมาครับ เลยเก็บข้อมูลและรูปภาพมาฝากกันสักหน่อย บรรยากาศสวนส้มดีมากๆเลย พอดีได้รับความอนุเคราะห์จากสวนส้มธนาธร มีเจ้าหน้าที่ของสวนส้มธนาธร พาเที่ยวด้วย
ออกบ้านตอนเช้ามืดจากเมืองเชียงใหม่ไปที่ อ.ฝาง ใช้ระยะเวลาในการเดินทาง 3 ชั่วโมงกว่าๆ ขับรถไปเรื่อยๆ ไม่เร็วมากนัก ไปถึงหน้าสำนักงานธนาธรเชียงใหม่ในอำเภอฝาง ไปรับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่จะพาเราไปเที่ยวสวนส้มธนาธร เราไปเที่ยวสวนส้มธนาธรกันทั้งหมด 3 ที่ด้วยกัน เริ่มต้้นด้วยการเดินทางไปเที่ยวที่สวนสัมธนาธร(บ้านลาน) ขับเลยสำนักงานไปหน่อยเลี้ยวซ้ายไป เจอสี่แยกไฟแดงเลี้ยวซ้ายอีกทีหนึ่งเดินทางไปสวนส้มที่บ้านลานขับรถประมาณ ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ที่นี่สวนส้มปลูกขึ้นไปตามไหล่เขาสุงลูกหูลูกตากว้างมากๆครับ มีเนื้อที่ประมาณ 700 ไร่ พอดีไปถึงช่วงเช้าอากาศเย็นหน่อย แดดไม่แรงมาก มีรถให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปนั่งเพื่อพาเที่ยวรอบๆสวน ที่นี่มีละครหลายเรื่องที่มาใช้สถานที่ในการถ่ายละคร มีบ้านพักอยู่กลางสวนหลังหนึ่ง มองลงมาข้างล่างจะเห็นสวนโดยรอบ หน้าหน้าจะมองเห็นเขื่อนด้วย มีบริการให้ตัดส้มจากไร่โดยจะมีถุงให้ใบหนึ่งเป็นถุงผ้า แล้วก็กรรไกร กิโลกรัมละ 30 บาท ณ.ตอนที่ไปตัด ที่นี่ยังมีของฝากขายด้วย ส่วนมากก็จะเป็นส้ม และผลิตภัณฑ์ของสวนส้มธนาธร เที่ยวที่นี่เสร็จไปกันต่อที่สวนส้มธนาธร(ท่าตอน)
ออกจาดสวนส้มธนาธร(บ้านลาน) ไปสวนส้มธนาธร(ท่าตอน) ใช้เวลาประมาณชั่วโมงหนึ่ง สวนส้มของที่นี่กว้างประมาณ 400กว่าไร่ เส้นทางสายที่เดินทางมาท่าตอนสามารถเดินทางไป จ.เชียงรายได้ จะไปโผล่ตรงแยกที่จะไป อ.แม่สาย กลับมาที่สวนส้มธนาธร(ท่าตอน)กันต่อ สวนส้มที่นี่ก็จะมีบริการคล้ายๆ กันแต่ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากกว่า เพราะการเดินทางที่สะดวก ติดถนนใหญ่ มีคณะท่องเที่ยวเดินทางมาไม่ขาดสาย ที่นี่บรรยากาศก็จะสวยไปอีกแบบจากสวนธนาธร(บ้านลาน)
ออกจากสวนธนาธร(ท่าตอน) กลับไปที่สำนักงานธนาธรเชียงใหม่ อ.ฝาง ไปชมกระบวนการหลังเก็บเกี่ยวก่อนการนำไปขาย ส้มที่เก็บจากไร่จะถูกส่งมาที่นี่เพื่อทำความสะอาด และคัดคุณภาพ ตรวจสารปนเปื้อน ก่อนขนส่งไปขาย ส้มธนาธรเน้นเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยหลักๆ ที่เด่นๆ คือ ส้มจะถูกตรวจสอบสารปนเปื้อนทุกครั้งก่อนนำไปผ่านกระบวนการ ส้มจะถูกทำความสะอาดด้วยน้ำ การแว็กซ์ส้มจะใช้สารจากธรรมชาติ(การแว็กซ์คือการทำให้ผิวส้มดูเรียบและมัน วาวทำให้น่าทาน ส้มที่เก็บมาจากต้นผิวไม่ได้เรียบน่ะครับ)
ความจริงยังมีสวนส้มธนาธรอีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานธนาธรมากนัก แต่ที่นี่ไม่ได้เปิดให้เข้าชม เป็นสวนส้มที่ใหญ่ที่สุดของสวนส้มธนาธร มีเนื้อที่ประมาณ 1000 กว่าไร่ ที่ไม่เปิดให้เข้าชมเพราะต้นส้มค่อนข้างจะบอบบาง ติดเชื้อได้ง่าย จึ่งต้อนอยู่ในการดูแลและควบคุม เจ้าหน้าที่ของธนาธรยังให้ข้อมูลอีกว่า มีสวนส้มที่ประเทศพม่า อีกประมาณ 2000 กว่าไร่ และสวนส้มที่ประเทศลาวอีกประมาณ 1000 กว่าไร่
การมาเที่ยวครั้งนี้ได้ความรู้เรื่องส้ม และความสุขจากการท่องเที่ยวมามากพอสมควรเลยทีเดียว ต้องขอขอบคุณสวนส้มธนาธร แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรไว้ด้วย…ขอบคุณครับ ใครมีโอกาศอย่าลืมไปเที่ยวน่ะครับ แนะนำให้ไปเที่ยวหน้าหนาวน่ะครับ เพราะส้มมีผลผลิตในช่วงฤดูหนาวมาก

การเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยว สวนส้มธนาธร อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

เดินทางออกจากตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ไปทางอำเภอฝาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 107 เป็นระยะทางประมาณ 150 กโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ก็จะถึงสำนักงานธนาธรเชียงใหม่ ในอ.ฝาง เดินทางจากสำนักงานธนาธร ไปสวนส้มธนาธร(บ้านลาน)อีกประมาณ 25 กิโลเมตร ใช้เวลาอีก 40 นาที และจากสำนักงานธนาธร ไปสวนส้มธนาธร(ท่าตอน)อีกประมาณ 40 กิโลเมตร ใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง








































.....ไร่จุ่นจันทร์

พุทรานมสดปลอดสารพิษ ที่ “ไร่จุ่นจันทร์” คุณภาพคับลูก
พุทราธรรมดาๆ ฟังดูไม่น่าตื่นเต้น เกษตรกรวังน้ำเขียวจึงสร้างความตื่นเต้นด้วยการปลูกพุทรานมสด รสชาติหวานกรอบเจือด้วยกลิ่นหอมๆ ของนมสด เอาใจคนชอบผลไม้ ที่สวนพุทรานมสดไร่จุ่นจันทร์ เราจะได้พบกับพุทรานมสดปลอดสารพิษที่อัดแน่นด้วยคุณภาพจากการดูแลรักษาอย่าง ดีตั้งแต่เริ่มปลูกกระทั่งถึงฤดูเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ โดยนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถแวะเที่ยวชมสวน มาซื้อมาเก็บพุทราเองได้ ถ้าชอบทานรสชาติอร่อยเข้มข้นให้มองหาลูกเล็กๆ ก่อน เนื่องจากรสชาติของพุทราจะเจือจางลงบ้างตามขนาดลูกที่ใหญ่ขึ้น






  


















.......... สวนลิ้นจี่ 







สถานีทดลองพืชสวนฝาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
ในการพัฒนาการปลูกลิ้นจี่เพื่อการส่งออก สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย ได้จัดให้มีการประชุมสัมมนาขึ้น ที่อำเภอฝาง ระหว่างวันที่ ๘-๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๑ เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้องของผู้ปลูกลิ้นจี่ และผู้ส่งขายลิ้นจี่ภายในและต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาการปลูกลิ้นจี่ในประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า โดยทางสมาคมฯ ได้เชิญนักวิชาการ ผู้ชำนาญการปลูกลิ้นจี่ ชาวสวนลิ้นจี่ภาคเหนือ และผู้ส่งออกลิ้นจี่ออกนอก มาร่วมประชุมสัมมนาในครั้งนั้น ที่ประชุมได้กล่าวเน้นถึงความสำคัญของเรื่องการหาลิ้นจี่พันธุ์ดีมาทดแทนพันธุ์ที่มีอยู่แล้ว เพื่อทำให้ลิ้นจี่ของเมืองไทยพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยการหาลิ้นจี่พันธุ์ใหม่ลูกผสมที่มีคุณภาพ และนำลิ้นจี่พันธุ์ดี ๆจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นแหล่งลิ้นจี่พันธุ์ดีและแหล่งกำเนิดปลูกลิ้นจี่ของโลก ทำการศึกษาและทดสอบการปลูกในเมืองไทย
ในการเสาะแสวงหาลิ้นจี่พันธุ์ดีที่เหมาะสมกับเมืองไทย สภานีทดลองพืชสวนฝาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของสถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ได้ดำเนินการเรื่องนี้มาไม่ต่ำกว่า ๑๕ ปี โดยมีแปลงทดลองศึกษาพันธุ์ลิ้นจี่จากแหล่งต่าง ๆ ของโลกไว้ ในขณะนี้ได้รวบรวมพันธุ์ที่เห็นว่าดีมีอนาคตไว้ถึง ๒๑ พันธุ์ เพื่อศึกษาลักษณะพันธุ์ลิ้นจี่เหล่านั้นโดยละเอียด ในขณะเดียวกันทางสถานีฯ ได้ศึกษาพันธุ์ดีพันธุ์ใหม่ ที่มีอยู่ในสวนของเกษตรกรแล้วด้วย
ประกวด-เพื่อหาพันธุ์ดี
การประกวดลิ้นจี่แต่ละปี ซึ่งได้จัดให้มีขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคม มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการปลูกลิ้นจี่ให้มีคุณภาพดีขึ้น จะได้ลิ้นจี่พันธุ์ดีมาปลูกทดแทนพันธุ์เก่าที่มีอยู่แล้ว
ในปีพ.ศ.๒๕๓๑ ก็มีการจัดงานเทศกาลลิ้นจี่เชียงใหม่ขึ้นระหว่างวันที่ ๒๔-๓๐ พฤษภาคม ณ ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีการประกวดลิ้นจี่ ขายลิ้นจี่ราคาถูก ขายพืชผลของเกษตรกร ประกวดหอมหัวใหญ่ กระเทียม กะหล่ำปลี และประกวดธิดาลิ้นจี่
ทางด้านสถานีทดลองพืชสวนฝางได้จัดให้มีนิทรรศการลิ้นจี่ เพื่อเผยแพร่ความรู้ในการปลูกลิ้นจี่ให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลิ้นจี่ และร่วมมือกับทางเกษตรอำเภอจัดให้มีการประกวดลิ้นจี่พันธุ์ต่าง ๆ โดยได้แยกออกเป็น ๕ ประเภท ตามพันธุ์ คือ พันธุ์โฮงฮวย โอเฮียะ กิมเจง จักรพรรดิ และ พันธุ์อื่น ๆ
สำหรับการประกวดลิ้นจี่ทั้ง ๕ ประเภทปีนี้คณะกรรมการได้เชิญ นาย เค อาร์ แชพแมน ผู้เชี่ยวชาญลิ้นจี่ในประเทศไทย มาร่วมเป็นกรรมการตัดสินประกวดลิ้นจี่ประเภทต่าง ๆ ทั้ง ๕ ประเภทด้วย นายแชพแมนเคยไปศึกษาเรื่องการปลูกลิ้นจี่และพันธุ์ลิ้นจี่ที่เมืองจีนยาวนานถึง ๘ ปี จึงได้ทราบว่าลิ้นจี่เมืองจีนพันธุ์ไหนดีและไม่ดีตรงจุดไหน
นอกเหนือจากลิ้นจี่ ๔ ประเภทแรกที่ได้รับรางวัลแล้ว ลิ้นจี่พันธุ์อื่น ๆ ที่ได้รับรางวัลมี ๓ รางวัล และที่น่าสนใจก็คือ ลิ้นจี่พันธุ์ที่ได้รับรางวัลที่ ๑ ซึ่งไม่ทราบชื่อพันธุ์เป็นลิ้นจี่ของ นายบุญชอบ  เกียรตินิยม หมู่ ๑ ตำบลหนองบัว กิ่งอำเภอไชยปราการ (เดิมเป็นอำเภอฝางตอนใต้) จังหวัดเชียงใหม่
สำหรับลิ้นจี่ที่ไม่ทราบชื่อพันธุ์นี้ นายแชพแมนยืนยันว่าเป็นพันธุ์ดีพันธุ์หนึ่งของเมืองจีนมีชื่อพันธุ์ว่า “ไกวเม่-พิ้งค์”
ความเป็นมาของลิ้นจี่พันธุ์ “ไกวเม่-พิ้งค์” หรือ “ฝาง ๔๑”
ความหมายของ “ไกวเม่-พิ้งค์” นี้คือ ไกว มาจาก ก้วยหรือฮวย แปลว่า ดอก เว่หรือเม่ แปลว่า ดอกไม้ ดังนั้น จึงมีชื่อว่า ลิ้นจี่พันธุ์ดอกไม้ เป็นพันธุ์ที่มีคุณภาพดีพันธุ์หนึ่งของเมืองจีน
ลิ้นจี่พันธุ์ “ไกวเม่-พิ้งค์” มีความหวานมากกว่าพันธุ์อื่น เมล็ดเล็กบางลีบ เปลือกผลบาง หนามแหลมห่างใบเล็กกว้าง ใบบางสีไม่เขียวจัด ในวันที่เกษตรกรส่งเข้าประกวดลิ้นจี่พันธุ์นี้มีความหวานถึง ๒๑℅ นับว่าหวานมาก
ลิ้นจี่พันธุ์ไกวเม่-พิ้งค์นี้ นอกจากมีผลกลมโตเนื้อหนาแล้ว ยังมีลักษณะพิเศษประจำพันธุ์คือมีกลิ่นหอม เมื่อแก่จัด ดังนั้น จึงเป็นพันธุ์ดีพันธุ์หนึ่งซึ่งควรจะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกให้มาก ในขณะนี้มีพันธุ์นี้ที่สวนเอกชน ๒-๓ แห่ง และที่สถานีทดลองพืชสวนฝางก็มีอยู่ในแปลงศึกษาพันธุ์ของสถานีฯ อายุต้นประมาณ ๑๐ ปี
ประวัติโดยย่อทางการได้ลิ้นจี่ไกวเม่-พิ้งค์ หรือ ฝาง ๔๑ มาปลูก เริ่มประมาณ ๑๐ ปี ก่อนในสมัยที่พลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไทยกับจีนแผ่นดินใหญ่มีความสัมพันธุ์ไมตรีอย่างแน่นแฟ้น พลเอกเกรียงศักดิ์  ได้สั่งพันธุ์ลิ้นจี่พันธุ์ต่าง ๆ มาให้กรมวิชาการเกษตรปลูกหลายพันธุ์เพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นพันธุ์ดีหลายพันธุ์ แต่เนื่องจากป้ายเบอร์หาย เมื่อต้นอ่อนมาถึง สถานีทดลองพืชสวนฝางจึงให้เบอร์ต้นที่แปลงศึกษาพันธุ์ว่า เกรียงศักดิ์ ๑-๒-๓-๔ เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ผู้สั่งพันธุ์เข้ามา
ตามคำบอกเล่าของ ดร.สิงห์หน  คำซาว เจ้าของสวนลิ้นจี่ห้วยงู ในตำบลแม่สูน อำเภอฝาง ซึ่งมีลิ้นจี่พันธุ์นี้อยู่ ๒๐ ต้น โดยได้มาเมื่อ ๑๐ ปีก่อนจากเมืองกวางเจา ซึ่งอยู่ตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่โดยผ่านทางฮ่องกง มาทางเรือในสภาพกิ่งตอน จำนวน ๕๐ กิ่ง ราคาในขณะนั้นกิ่งละ ๕๐๐ บาท แต่เมื่อนำมาปลูกในสวนลิ้นจี่ของท่านเพื่อศึกษาดูก่อนนั้น คงสู้กับหญ้าคาไม่ไหว บางต้นปลูกในที่ชื้นแฉะจึงล้มตายไป นับต้นดูขณะนี้คงเหลือ ๒๐ ต้น เมื่อทราบเป็นพันธุ์ดีมีความหวานมากกว่าพันธุ์อื่น ท่านก็บอกว่าจะกำจัดหญ้าคาให้หมด ใส่ปุ๋ยเต็มที่ เพื่อการขยายพันธุ์ต่อไป สำหรับราคากิ่งพันธุ์ ยังบอกไม่ได้ว่าจะขายกิ่งละเท่าใด ถ้าจะขายราคาเท่าที่ซื้อมา คงไม่มีใครอยากได้ เพราะแพงเกินไป



เที่ยว....บ่อน้ำร้อนฝาง

บ่อน้ำร้อนฝาง 
        บ่อน้ำพุร้อน ใน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ใครมาเที่ยวอำเภอฝางไม่ควรพลาด ด้วยน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีความร้อนสูงถึง 100 องศาเซลเซียส แต่บ่อน้ำพุร้อนโดยทั่วไปในบริเวณอุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 30 – 80 องศาเซลเซียส ซึ่งมีมากมายหลายสิบบ่อ ในเนื้อที่กว่าสิบไร่ เป็นจุดแวะพักอย่างดีสำหรับผู้ที่มาท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในอำเภอฝาง โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวใครที่เดินทางไปพักบนยอดดอยแล้วยังไม่ได้อาบน้ำเหมาะมากเลย
          บ่อน้ำพุร้อนฝาง ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปกหรืออุทยานผ้าห่มปก ตำบลบ้านปิน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ใกล้ๆกันกับที่ทำการอุทยานฯ มีพื้นที่ของบ่อน้ำร้อนถึงประมาณ 10 ไร่ด้วยกัน มีจำนวนบ่อน้ำพุร้อนอยู่ประมาณ 50 บ่อ อุณหภูมิแตกต่างกันไป อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30-80 องศาเซลเซียส ในพื้นที่จะมีทางเดินที่ถูกสร้างไว้ให้นักท่องเที่ยวเป็นปูนที่ทำเลียนแบบไม้ เข้ากับสถานที่มากๆ โดยจุดที่น่าสนใจจะเป็นจุดที่น้ำพุร้อนพุ่งขึ้นมาสูงที่สุดในบ่อน้ำพุร้อนฝางโดยจะพุ่งออกมาเป็นช่วงๆ ประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง สูงประมาณ 30-50 เมตรเลยทีเดียว และก็เป็นบริเวณที่อุณหภูมิของน้ำจะสูงมากด้วย


ในร้อนในบ่อน้ำพุร้อนฝางเกิดจากการที่น้ำในชึ้นใต้ดินไหลผ่านหินร้อนหลอมเหลวหรือที่เรียกกันว่าลาวาในบริเวณใกล้เปลือกโลก ทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูง เกิดแรงดันไหลผ่านตามรอยแยกใต้พื้นดินขึ้นมา ทำให้เกิดเป็นน้ำร้อนไหลพุ่งขึ้นสู่หน้าดิน

              ภายในบ่อน้ำพุร้อนฝางมีกิจกรรมให้ทำยอดนิยมก็คือการต้มไข่นั่นเอง ใครที่เที่ยวน้ำพุร้อนแล้วไม่ได้ต้มไข่ดูเหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่างน่ะผมว่า นอกจากนั้นยังนิยมการนั่งแช่เท้าในน้ำร้อนในจุดที่มีการจัดเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งอุณหภูมิของน้ำกำลังพอเหมาะ แต่แช่ตอนแรกๆ อาจจะต้องเอาเท้าขึ้นลงบ่อยหน่อย พอชินแล้วก็แช่ได้นานเลยทีนี้ หากแช่เท้ายังไม่หนำใจ ในบริเวณบ่อน้ำพุร้อนฝางก็มีการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับลงไปแช่ได้ทั้งตัวไว้คอยให้บริการ ซึ่งจะทำเป็นห้องๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว และก็ยังมีบ่อรวมซึ่งจะแยกชายหญิง และยังมีห้องสำหรับอบไอน้ำ หรือจะนวดแผนไทยที่นี่ก็มีไว้ให้บริการ แต่บริการที่ว่ามานี้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายซึ่งก็ไม่แพงมาก ใช้บริการได้ในราคาสบายๆ
ในพื้นที่บ่อน้ำพุร้องฝาง มีบริการค่อนข้างจะครบครันเพราะอยู่ใกล้กับที่ทำการอุทยานดอยฟ้าห่มปก มีร้านค้า ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ห้องน้ำหรือห้องสุขา สะอาดน่าใช้ และยังมีพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ไว้ให้บริการ หรือบ้านพักของอุทยานก็มีแต่คงต้องจองกันล่วงหน้าสำหรับในฤดูท่องเที่ยว






ข้อแนะนำ 
ท่องเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ฤดูที่แนะนำคือ ฤดูหนาว นอกจากได้ความสุข สบายตัวจากการอาบน้ำแร่แล้ว ยังได้สัมผัสกับบรรยากาศความหนาวเย็นของภาคเหนือได้อย่างเต็มอิ่มอีกด้วย

การเดินทาง บ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อนฝาง เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแม่ฝาง ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกเมื่อปี 2549 นั่นเอง การเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่-ฝาง) ก่อนถึงตัวอ.ฝาง ประมาณ 1 กม. มีทางเลี้ยวเข้าถนนสาย ฝาง-ม่อนปิ่น ผ่านไปประมาณ 3 กม. จะพบถนน รพช 4054 ทางไปบ้านโป่งน้ำร้อนประมาณ 8 กม. จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ










ชุมชนจีนยูนนาน.....ฝาง



บ้านยาง........ (ฝาง)



ทางเข้าหมู่บ้าน "บ้านยาง" ยินดีต้อนรับ
  เส้นทางท่องเที่ยวหมู่บ้าน OTOP ตามนโยบายของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทยนั้น ทางกรมฯ ได้พยายามสำรวจหมู่บ้านท่องเที่ยว OTOP อย่างต่อเนื่องทั่วทุกภูมิภาคของไทย หวังสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านในชุมชน ล่าสุดภาครัฐฯ ได้พัฒนาบ้านยาง ต.แม่งอน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว OTOP ให้คนไทยได้ศึกษาวัฒนธรรม วิถีชีวิต ของชาวจีนยูนนานที่อพยพมาจากประเทศจีนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
       



ในช่วงนี้ตลอดเส้นทางจะพบต้นลิ้นจี่สองข้างทาง
       ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2496 ทหารจีน (กองพล 93-95) และประชาชน ได้อพยพเข้ามาประเทศไทย โดยใช้เส้นทางดอยอ่างขาง (ปัจจุบันคือ บ้านหลวง) และย้ายถิ่นมาที่บ้านยาง ซึ่งแม้ชื่อจะธรรมดา ไม่คุ้นหูคนไทยมากนัก แต่หมู่บ้านแห่งนี้กลับอยู่ในสายพระเนตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมายาวนาน ที่ทุกคนในหมู่บ้านล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ได้เข้ามาพลิกฟื้นผืนดินที่เต็มไปด้วยไร่ฝิ่น ให้กลายเป็นสวรรค์ของพืช ผัก ผลไม้ เมืองหนาว เช่น สตรอเบอรี่ มะเขือเทศ ลูกพลับ ลิ้นจี่ ลูกสาลี่ ลูกท้อ และผักสลัดต่างๆ สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนแห่งนี้เป็นอย่างมาก




   ........  บรรยากาศบ้านยาง ถือเป็นชุมชนที่โดนเด่นในเรื่องวัฒนธรรมที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นชาวจีนยูนนานไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ของทั้ง 3 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม ที่อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ รวมถึงสถาปัตยกรรมบ้านเรือนรูปแบบจีน และอาหารการกิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทางกรมการพัฒนาชุมชนเชื่อว่า จะเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ด้านการท่องเที่ยวหมู่บ้าน OTOP ให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี



   


...... ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ นอกจากสภาพบ้านเรือน การใช้ชีวิตของชาวบ้านแล้ว ล่าสุดได้มีพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ ๑ (ฝาง) เกิดขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ของบ้านยาง โดยเป็นพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้พัฒนาพื้นที่แห่งนี้เป็นศูนย์การเรียนรู้ในรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต (living SITE MUSEUM) โดยรวบรวมและนำเสนอองค์ความรู้ผ่านนิทรรศการ วัตถุสะสม หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงกระบวนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศแบบบูรณาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโรงงานหลวงสำเร็จรูปที่ ๑ (ฝาง) หลังจากที่ทำหน้าที่แปรรูปผลผลิตทางการเกษตรมาอย่างต่อเนื่องนาน 30 ปี







       ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวเพื่อศึกษาธรรมชาติ ได้แก่ น้ำตกบ้านยาง ที่ใช้เวลาเดินเพียง 20 นาที, โรงหมอ / แปลงสมุนไพร สถานีอนามัยพระราชทานแห่งแรกของตำบลแม่งอน, โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และแปลงสาธิต สถานที่รวบรวมพันธุ์พืชบางชนิด โดยเป็นตัวอย่างวัตถุดิบที่ส่งเข้าโรงงานหลวง เพื่อสาธิตวิธีการเพาะปลูกและดูแลรักษาอย่างถูกวิธีแก่เกษตรกรและผู้สนใจ ส่วนแหล่งท่องเที่ยวเพื่อศึกษาวัฒนธรรม ได้แก่ โรงเรียนสอนภาษาจีน ซึ่งเมื่อเข้ามาเยี่ยมชมจะให้บรรยากาศเหมือนอยู่เมืองจีนเลยทีเดียว, ศาลเจ้าแม่กวนอิม, บ้านดิน, มัสยิด, ศาลเจ้าบ้าน สถานที่ซึ่งเทพเจ้าของหมู่บ้านสถิตย์อยู่ เพื่อปกปักรักษาชุมชนให้สงบร่มเย็น, โบสถ์คริสต์ และตลาดสด ซึ่งหากนักท่องเที่ยวได้ลองไปนั่งจิบกาแฟในตลาดนี้แล้วจะรู้ว่าเสน่ห์ของหมู่บ้านจีนยูนนานอยู่ไหน

น้ำตกบ้านยาง


บ้านวังยาง นับเป็นหมู่บ้านที่น่าค้นหา และเรียนรู้วัฒนธรรมวิถีชีวิตที่สบงสุข และเป็นหมู่บ้านที่เดินทางไม่ยาก และไม่ไกลจากดอยอ่างขางมากนัก โดยออกจากจ.เชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่ อ.ฝาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 107 ระยะทาง 150 กม. ถึงแยกอ่างขางแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกเพียง 18 กม. ก็ถึงแล้ว






ภาพวาดพู่กันจีน จากคนเก่าแก่ในหมู่บ้าน







สุกี้ยูนนานพร้อมรับประทานเพียงแต่ใส่ผักที่ชอบลงไปเท่านั้น







ฟังเสียงดนตรีไทยจากคนเก่าแก่ในบ้านยาง
       
     


เดินทาง



FANG...............................




     อำเภอฝาง  เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง ประชากรมีทั้งชาวไทยพื้นราบและชาวไทยภูเขา อำเภอฝางเป็นอำเภอศูนย์กลางความเจริญในเขตเชียงใหม่ตอนบน มีอำเภอบริวารคือ อำเภอแม่อายและอำเภอไชยปราการ มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของจังหวัดเชียงใหม่ รองจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ 









ที่ตั้งและอาณาเขต

อำเภอฝางตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังนี้





สภาพภูมิอากาศ

  • มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 25 องศา มีอากาศหนาวเย็นในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 10-19 องศา ส่วนอุณหภูมิสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนเมษายน ประมาณ 39 องศา















               







































 Welcome to Fang........................



วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เที่ยว......สบายๆ


สถานที่เที่ยววันนี้ ไปขึ้นดอยกัน......."ดอยอ่างขาง" นี่เอง ^_^


การเดินทาง
จากเชียงใหม่ ใช้เส้นทางสาย 107 เชียงใหม่-ฝาง เป็นเส้นทางผ่านแม่ริม แม่แตง เชียงดาว ทางแยกเข้าดอยอ่างขางมี 2 เส้นทาง คือ แยกซ้ายที่ กม.79 เป็นเส้นทางใหม่ที่ไม่ชันมากแต่ทางจะเปลี่ยวหน่อย ระยะทางจากแยกทางหลวงสาย 107 ไปจนถึงอ่างขางมีระยะทางประมาณ 50 กม.  อีกเส้นทางคือแยกที่ กม.137 มีระยะทางถึงอ่างขางประมาณ 25 กม. เป็นเส้นทางที่สั้นแต่ชันมาก รถเก๋งและรถทุกชนิดขึ้นได้ถ้าคนขับมีฝีมือ ถ้าไม่แน่ใจให้จอดรถไว้ที่วัดที่ปากทาง กม.137  หรือจอดรถไว้ที่บริเวณลานจอดรถเอกชนมีรั้วมิดชิด สถานที่รับจอดรถอยู่ตรงข้ามกับปากทางเข้าดอยอ่างขาง ค่ารถจอดคันละ 50 บาท แล้วนั่งรถสองแถวขึ้นไป หรือเหมารถขึ้นไป



จากเชียงใหม่ใช้เส้นทางสาย 1089 เลยอำเภอไชยปราการไปประมาณ 8.5 กิโลเมตร แยกซ้ายขึ้นดอยอ่างขางไปตามเส้นทางหมายเลข 1249 ตัดผ่านหมู่บ้านแล้วตัดตรงขึ้นดอยอ่างขาง เป็นเส้นทางที่ชันที่สุดและลุ้นที่สุดของเส้นทางในเมืองไทย

การเดินทางไปดอยอ่างขาง
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
บนเส้นทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่-ฝาง) ประมาณกิโลเมตรที่ 137 จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านยางที่ ตลาดแม่ข่า เข้าไปอีกประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นทางลาดยาง สูงและคดเคี้ยว ต้องใช้รถสภาพดีและมีกำลังสูง คนขับชำนาญ
2. รถสาธารณะ
จากกรุงเทพนั่งรถสายกรุงเทพ-ฝาง ไปลงที่ปากทางขึ้นดอยอ่างข่าง จากนั้นนั่งรถสองแถวที่ให้บริการขึ้น ดอยอ่างขางไปราคาประคนละ 60 บาท แต่ต้องรอให้ผู้โดยสารเต็มถึงจะขึ้นไปหรือจะใช้บริการ รถสองแถว นำเที่ยวดอยอ่างขางพร้อมรับส่งก็ได้












"อากาศดีจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ......................สดชื่นๆๆๆๆๆๆๆ"
ถึงแล้ว........ 
สถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง ตั้งขึ้นโดยสืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จ พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ที่หมู่บ้านผักไผ่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และได้้ เสด็จผ่านบริเวณบริเวณดอยอ่างขางทรงทอดพระเนตรเห็นว่าชาวเขาส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณนทำการปลูกฝิ่น แต่ยัง ยากจน ทั้งยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่ง สำคัญต่อระบบนิเวศน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความ เสียหายต่อส่วนอื่น ๆ ของประเทศได้ จึงทรงมีพระราชดำริว่าพื้นที่นี้มีภูมิอากาศที่หนาวเย็นมีการปลูกฝิ่นมากไม่มี ป่าไม้อยู่ เลยและ สภาพพื้นที่ไม่ลาดชันนักประกอบกับ พระองค์ทรงทราบว่าชาวเขาได้เงินจากฝิ่นเท่ากับที่ได้จาก การปลูกท้อพื้นเมือง และทรงทราบว่าที่สถานีทดลองไม้ผลเมืองหนาว ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ทดลอง วิธี ติดตาต่ิอกิ่งกับท้อฝรั่ง จึงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1500 บาท เพื่อซื้อ ที่ดินและไร่ในบริเวณ ดอยอ่างขาง ส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ เมื่อ พ. ศ. 2512 โดยทรงแต่งตั้งให้้หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งมูลนิธิโครงการหลวง ใช้เป็น สถานีวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิด ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล ผัก ไม้ดอกเมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่าง แก่เกษตรกรชาวเขาในการ นำพืชเหล่านี้มาเพาะปลูก ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้พระราชทานนาม ว่า สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง

สวนแปดสิบ
เป็นสวนจัดกลางแจ้งจะอยู่ด้านในสถานีฯ ตรงข้ามบริเวณสโมสร ซึ่งสวนนี้ตั้งชื่อตามอายุขององค์ประธานมูลนิธิ โครงการหลวงหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ในวาระที่ทรงมีอายุครบ 80 ชันษา โดยจะจัดตกแต่งสวนในสไตล์อังกฤษ ด้วยพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ เมืองหนาวนานาชนิด เช่น กะหล่ำประดับ เดซี ลินาเลีย ชบาอาบูติลอน ฯลฯ





ที่พักดอยอ่างขาง
อ่างขางมีที่พักในบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติไว้บริการนักท่องเที่ยวให้เลือกพักได้ตามรสนิยมและเงินในกระเป๋าที่มีอยู่ มีทั้งที่พักหรูๆ ในบรรยากาศสุดยอดจนถึงที่พักแบบประหยัดบรรยากาศตามอัตภาพ ตลอดจนการนอนเต็นท์ก็มีเต็นท์ไว้ใช้เช่านอน


........หากต้องการพักผ่อน และหาที่พัก ขอแนะนำ อ่างขางวิลล่า ค่ะ


อ่างขางวิลล่า
ตั้งอยู่ในหุบเขาที่มีทิวทัศน์สวยงาม ในบรรยากาศเมืองหนาวตลอดปี ด้วยพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ ที่รายล้อมด้วยพืชพรรณเมืองหนาวและ ซากุระ ภัตตาคารบริการด้วยอาหารไทย อาหารไทยภาคเหนือ และอาหารจีน โดยใช้ผลผลิตส่วนใหญ่จากโครงการหลวง โดยเฉพาะพืชผัก ผลไม้และสมุนไพร มีที่พักแบบบ้าน 9 หลังที่ออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ พร้อมบริการให้ผู้มาเยือนได้ครั้งละ 50-60 ท่าน และมีบริเวณสำหรับให้กางเต้นท์  อีกด้วย.......... 


หากฉันบินได้............................


ทะเลหมอก@อ่างขาง

"สวยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆค๊าาาาาาาาาาาาาาาาา.........."